หลังจากที่เราได้เรียนรู้การ “เพิ่มพื้นที่ให้ร่างกาย” ผ่านความยืดหยุ่นในตอนก่อน พื้นฐานต่อไปของการเคลื่อนไหวที่ดีคือ “ความแข็งแรง”

หลายคนเข้าใจผิดว่า ความแข็งแรง คือการสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่ หรือฝึกให้ทำอะไรหนัก ๆ ได้มากขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว ความแข็งแรงในมุมของโยคะและการฟื้นฟูร่างกาย คือ “ความสามารถในการควบคุมแรงได้อย่างสมดุล”

เพราะร่างกายที่แข็งแรง ไม่ใช่ร่างกายที่แน่นตึง แต่คือร่างกายที่ “มั่นคงจากภายใน” กล้ามเนื้อทำงานสัมพันธ์กันพอดี ไม่มากจนบีบรัดข้อต่อ และไม่อ่อนจนปล่อยให้ข้อต่อหลวม

ถ้าความยืดหยุ่นคือ “การคลาย” ความแข็งแรงก็เป็น “การยึดโยง” สองสิ่งนี้ต้องอยู่ด้วยกัน เหมือนลมหายใจเข้าและออก ที่ต่างก็จำเป็นพอ ๆ กัน

.

Strength หรือ “ความแข็งแรง” หมายถึง ความสามารถของกล้ามเนื้อในการสร้างแรงต้าน เพื่อพยุงร่างกาย เคลื่อนไหว และปกป้องข้อต่อจากการบาดเจ็บ แต่ในเชิงกายวิภาค ความแข็งแรงไม่ใช่แค่การ “หดกล้ามเนื้อ”ยังรวมถึงการทำงานอย่างประสานกันระหว่าง กล้ามเนื้อ และระบบประสาทที่สั่งการ (Neuromuscular control)

กล้ามเนื้อสามารถสร้างแรงได้หลายแบบ

1.Concentric contraction – การหดตัวสั้นลง (เช่น ยกตัวขึ้นในท่า Plank)

2.Eccentric contraction – การยืดตัวต้านแรง (เช่น ลดตัวลงในท่า Chaturanga)

3.Isometric contraction – การค้างแรง (เช่น การยืนในท่า Warrior II อย่างมั่นคง)

โยคะคือการฝึกทั้งสามรูปแบบนี้พร้อมกัน จึงทำให้ร่างกายไม่เพียงแข็งแรง แต่ยังรู้ว่าจะใช้แรงแค่ไหน รู้ว่าจะผ่อนเมื่อไหร่ และรู้ว่าจะนิ่งอย่างไร

.

ฝึก Strength อย่างไรให้ได้ทั้งพลังและความนิ่ง

1.เริ่มจากการสร้างแรงจากแกนกลาง (Core Stability) ความแข็งแรงที่แท้จริงเริ่มจาก “ศูนย์กลางของร่างกาย” ไม่ใช่แค่หน้าท้อง แต่รวมถึงกระบังลม กล้ามเนื้อหลัง และเชิงกราน ทุกครั้งที่ฝึกโยคะ ให้รู้สึกถึงการพยุงจากภายใน ไม่ใช่เพียงการเกร็งกล้ามเนื้อ

2.ใช้แรงอย่างมีสติ ไม่แข่งกับตัวเอง ความแข็งแรงจะเกิดขึ้นเมื่อเรา “ใช้แรงเท่าที่จำเป็น” ไม่มากจนเกินไป ไม่เร่งเพื่อเอาชนะ เพราะแรงที่มากเกินความจำเป็น คือแรงที่ทำลายสมดุล

3.สร้างแรงผ่านการเคลื่อนไหวช้า ๆ ทำให้สมองมีเวลารับรู้จังหวะ และช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ทั่วถึง ในโยคะ การเคลื่อนไหวช้าและมีลมหายใจคือ “การฝึกแรงพร้อมสมาธิ”

4.เสริมการฝึกด้วยท่าที่พยุงน้ำหนักตัว (Bodyweight Strength) ท่าโยคะที่ช่วยสร้างความแข็งแรง เช่น

-Plank / Chaturanga → เสริมกล้ามเนื้อแขนและแกนกลาง

-Chair Pose (Utkatasana) → เสริมขาและ core

-Bridge Pose (Setu Bandhasana) → เสริมก้นและหลัง

-Warrior II (Virabhadrasana II) → พัฒนาความมั่นคงของลำตัวและขา



“ทุกท่าที่เราฝึก ไม่ได้ฝึกเพียงเพื่อให้ดูแข็งแรงขึ้น แต่เพื่อให้รู้ว่าความแข็งแรงที่แท้จริง คือความนิ่งจากภายใน”

.

ในชีวิตประจำวัน “แรง” มักถูกใช้เพื่อผลัก ดึง หรือบังคับ แต่ในโยคะ เราฝึก “แรงที่มาพร้อมความอ่อนโยน”

แรงที่ดีไม่บีบคั้นร่างกาย แต่ช่วยพยุงให้เราอยู่ในท่าได้อย่างสงบ เหมือนรากไม้ที่ไม่ได้บีบพื้นไว้แน่น แต่แผ่ขยายออกอย่างมั่นคง

เมื่อเราสร้างแรงจากภายใน เราจะรู้สึกมั่นคงขึ้น ไม่ใช่แค่ในท่าโยคะ แต่ในทุกจังหวะของชีวิต ไม่ว่าจะเจอแรงกดดัน ความเหนื่อยล้า หรือความเปลี่ยนแปลง เราจะยังคง “ตั้งมั่น” อยู่ได้ โดยไม่แข็งกระด้างและไม่อ่อนแอ

Strength คือความสามารถในการสร้างแรงอย่างพอดี ไม่แข็งจนตึง ไม่อ่อนจนหลวม คือแรงที่พยุงให้เรายืนหยัดอยู่ได้ ทั้งในท่าโยคะ… และในทุกท่าของชีวิต

.

เมื่อเรามี Flexibility ที่ดี ร่างกายจะคลายตัวและเปิดพื้นที่

เมื่อเรามี Strength ที่สมดุล ร่างกายจะมั่นคงและปลอดภัย

แต่ยังมีอีกพื้นฐานหนึ่งที่ทำให้ทั้งสองสิ่งทำงานร่วมกันได้อย่างอิสระนั่นคือ Mobility ความคล่องตัวของข้อต่อ คือความสามารถในการเคลื่อนไหวได้เต็มช่วง อย่างนุ่มนวลและควบคุมได้

ในตอนสุดท้าย EP.3 – Mobility: เคลื่อนไหวอย่างอิสระและมั่นคง “เมื่อแรงและความยืดหยุ่นมาพบกัน” ร่างกายจะเคลื่อนไหวได้อย่างมีชีวิตชีวาเพียงใด

ครูหลง😄
Renew studio