
ร่างกายที่แข็งแรง ไม่ได้หมายถึง ร่างกายที่ยืดได้มากที่สุด แต่คือร่างกายที่เคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคง…
เราทุกคน ต่างใช้งานร่างกายกันอยู่ตลอดเวลา ทุกวันเราลุก เดิน นั่ง ยกของ ก้มตัว ฯลฯ ทั้งในชีวิตประจำวัน การฝึกโยคะ หรือการออกกำลังกายต่าง ๆ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราอาจรู้สึกว่า ขยับร่างกายแล้วติดตึง จนไปถึงอาการเจ็บเรื้อรังต่าง ๆ ทั้งที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรชัดเจน ซึ่งสาเหตุอาจเกิดการละเลย “การเคลื่อนไหวที่ดี” มานาน อยู่ก็ได้
.
และแน่นอนว่าการเคลื่อนไหวที่ดีนั้น ไม่ได้หมายถึงการทำโยคะท่ายาก หรือออกกำลังกายหนัก ๆ แต่คือการเคลื่อนไหวด้วยความเข้าใจ “พื้นฐานสามอย่าง” ที่ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
1.Flexibility (ความยืดหยุ่น) – เพื่อให้กล้ามเนื้อ พังผืดในร่างกายคลายตัว
2.Strength (ความแข็งแรง) – เพื่อให้ข้อต่อมั่นคงและได้รับการพยุง
3.Mobility (ความคล่องตัว) – เพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหลและควบคุมได้จริง
สามสิ่งนี้เปรียบเหมือน “สามรากฐานของต้นไม้แห่งการเคลื่อนไหว” ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้นไม้ก็เริ่มขาดความมั่นคง
.
Flexibility คือความสามารถของกล้ามเนื้อและพังผืด (fascia) ในการยืดตัวโดยไม่ต้านแรงมากเกินไป หรือพูดง่าย ๆ คือ “ความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อที่ช่วยให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้เต็มช่วง”
เวลาที่เรายืดตัว ระบบประสาทจะส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อให้ “ยอมปล่อย” หรือ “หดกลับ” หากเราดึงแรงหรือเร็วเกินไป กล้ามเนื้อจะเกิด stretch reflex — เป็นกลไกป้องกันตัวเองไม่ให้ฉีก
ดังนั้น “การยืดที่ดี” จึงไม่ใช่การฝืนไปให้สุด แต่คือการ “ให้เวลา” ให้พังผืดและกล้ามเนื้อค่อย ๆ คลายตัวภายใต้จังหวะลมหายใจ
ร่างกายที่ยืดหยุ่นดี คือร่างกายที่ “ฟังตัวเองได้” รู้ว่าช่วงไหนควรหยุด ช่วงไหนควรผ่อน และไม่ฝืนข้ามขอบเขตความสามารถของตัวเอง
.
“ความยืดหยุ่นไม่ใช่การไปให้สุด แต่คือการรู้ว่าพอแค่ไหนถึงจะดีที่สุดสำหรับร่างกายเรา”
วิธีฝึกความยืดหยุ่นอย่างปลอดภัยและมีสติ
1.เริ่มจากลมหายใจ หายใจเข้าให้ยาวและลึก หายใจออกช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ยืดออก ลมหายใจคือเครื่องมือที่ช่วยให้ระบบประสาทคลายความเกร็ง และเนื้อเยื่อยอมให้ไปต่อ
2.เคารพขอบเขตร่างกาย (Respect Your Edge) จุดที่รู้สึก “ตึงแต่ไม่เจ็บ” คือขอบเขตปลอดภัย อยู่กับจุดนั้นด้วยความรู้ตัวแทนที่จะข้ามไปอีกนิดเพื่อ “ทำให้สุด” เพราะความยืดหยุ่นจะเกิดขึ้น เมื่อร่างกายรู้สึกปลอดภัย
3.ยืดอย่างนุ่มนวลและต่อเนื่อง (Slow and Steady) อยู่ในแต่ละท่าประมาณ 30–60 วินาที เพราะพังผืดต้องใช้เวลาจึงจะปรับสภาพ การรีบยืดเร็ว ๆ จะกระตุ้นกลไกต้านมากกว่าการคลาย
4.สลับกับการเคลื่อนไหวเบา ๆ ไม่จำเป็นต้องยืดค้างเสมอไป การเคลื่อนไหวเบา ๆ เช่น Cat–Cow, Low Lunge หรือ Bridge Flow จะช่วยให้ Flexibility และ Mobility พัฒนาไปพร้อมกันอย่างเป็นธรรมชาติ
ตัวอย่างท่าโยคะที่ช่วยพัฒนา Flexibility
-Hamstring: Forward Fold (Uttanasana), Head to Knee (Janu Sirsasana)
-Hip: Lizard Pose, Pigeon Pose
-Shoulder & Chest: Puppy Pose, Cobra Pose
.
“ยืดเพื่อให้เลือดไหลเวียนดี ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่าทำได้สุด”
.
Flexibility ไม่ได้อยู่แค่ในร่างกาย แต่มันคือ “บทเรียนของใจ” ที่สอนให้เราปล่อย คลาย และยอมรับ
ตอนที่เรายืดตัว เรากำลังเรียนรู้ที่จะอยู่กับ “ความตึง” ไม่หนีจากมัน ไม่ฝืนมัน แต่หายใจผ่านมันไป และนั่นคือการฝึกความยืดหยุ่นทั้งกายและใจในเวลาเดียวกัน
ความยืดหยุ่นที่แท้จริง ไม่ใช่ร่างกายที่พับได้สุดหรือโค้งได้มาก แต่คือใจที่อ่อนโยนพอจะรับฟังสัญญาณจากร่างกาย และยอมอยู่กับมันด้วยความเมตตา
.
“Flexibility คือการเปิดใจให้กับข้อจำกัด ไม่ใช่การต่อสู้กับมัน”
.
เมื่อเรายืดร่างกายจนขยับได้มากขึ้น ร่างกายจะเริ่มพร้อมสำหรับ “การเสริมแรง” เพราะถ้าเรามีแต่ความยืดหยุ่น โดยไม่มีความแข็งแรง ร่างกายจะหลวม แต่เมื่อเราผสมความแข็งแรงเข้าไป ความมั่นคงจะเกิดขึ้น
Flexibility คือรากฐานแรก ของการเคลื่อนไหวที่ดี เพราะมันเพิ่มพื้นที่ให้ร่างกายได้หายใจ ได้ขยับ และได้รู้สึก
.
ใน EP.2 เราจะไปต่อกับพื้นฐานข้อที่ 2 Strength: แข็งแรงแต่ไม่ตึง เพื่อเรียนรู้ว่า “แรงที่ดี” ไม่ได้หมายถึงการเกร็ง แต่คือการใช้พลังอย่างมีสมดุล เพื่อพยุงข้อต่อและปกป้องร่างกายอย่างยั่งยืน
ครูหลง![]()
Renew studio
