
หลายคนรู้จักโยคะจากคลาสในสตูดิโอ จากภาพของคนที่นั่งขัดสมาธิอย่างสงบ หรือท่าทางยืดเหยียดที่ดูอ่อนช้อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว “โยคะ” ไม่ได้เป็นเพียงการออกกำลังกายหรือการฝึกกายให้แข็งแรงและยืดหยุ่นเท่านั้น
หากแต่เป็น “วิถีชีวิต” ที่สอนให้เรากลับมาเชื่อมโยงกับตัวเอง ทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาน
.
คำว่า Yoga มาจากภาษาสันสกฤตว่า Yuj แปลว่า “การเชื่อมโยง” หรือ “การรวมเป็นหนึ่งเดียว” และหัวใจของการฝึกโยคะจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าเราทำท่าได้สวยแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่า เราตื่นรู้กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ได้มากแค่ไหนในแต่ละขณะ
.
เพราะในที่สุดแล้ว โยคะไม่ใช่สิ่งที่เราทำเพียงชั่วโมงละหนึ่งในคลาส แต่คือสิ่งที่เราฝึกอยู่ทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นลืมตา หายใจลึก ๆ ครั้งแรกของเช้า จนถึงช่วงเวลาที่เราปล่อยวางร่างกายลงบนเตียงยามค่ำ
.
หากย้อนกลับไปในคัมภีร์โยคะดั้งเดิม “โยคะสูตรของปตัญชลี (Patanjali’s Yoga Sutra)” ได้กล่าวไว้ว่า
“โยคะ คือ การหยุดการปรุงแต่งของจิต (Yoga chitta vritti nirodhah)”
ซึ่งหมายถึง “การฝึกให้จิตสงบจากความฟุ้งซ่าน” ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน บนเสื่อ หรือนอกเสื่อก็ตาม
.
ในเส้นทางแห่งโยคะนั้น แบ่งเป็น 8 ขั้น (The Eight Limbs of Yoga) ได้แก่
1.Yama – ศีล หรือหลักการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เช่น อหิงสา ความไม่เบียดเบียน
2.Niyama – การฝึกตน เช่น ความสะอาด ความพอใจ ความมีวินัย
3.Asana – การฝึกกาย เพื่อสร้างความมั่นคงและความสบาย
4.Pranayama – การฝึกควบคุมลมหายใจ
5.Pratyahara – การถอนประสาทสัมผัสจากสิ่งเร้าภายนอก
6.Dharana – การเพ่งจิตให้มั่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
7.Dhyana – สมาธิ หรือการไหลต่อเนื่องของจิตอย่างสงบ
8.Samadhi – ภาวะที่จิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ฝึก
.
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า โยคะคือ “การฝึกตลอดชีวิต” ไม่ใช่เพียงการฝึกกาย แต่คือการฝึกจิต ฝึกใจ และฝึกการใช้ชีวิตให้สมดุล โยคะจึงไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องสตูดิโอหรือบนเสื่อเท่านั้น
แต่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เราหยุดหายใจลึก ๆ ก่อนจะตอบโต้ใคร เกิดขึ้นทุกครั้งที่เราตระหนักว่าร่างกายกำลังเหนื่อย และเลือกจะพัก หรือแม้แต่ตอนที่เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่ตัดสิน

เมื่อเรามองโยคะเป็นวิถีชีวิต เราจะเริ่มเห็นว่าการฝึกสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงเวลา
1. โยคะในยามเช้า – เริ่มต้นวันด้วยสติ แทนที่จะรีบหยิบโทรศัพท์ทันทีที่ตื่น ลองหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง สังเกตความรู้สึกของร่างกายที่ตื่นขึ้น รับรู้แสงและเสียงรอบตัว เพียงเท่านี้ก็เป็น “สมาธิแรกของวัน” ที่ทำให้ใจสงบและพร้อมเริ่มต้นวันอย่างมีพลัง
2. โยคะในที่ทำงาน – ฝึกสมดุลระหว่างแรงกายและแรงใจ การนั่งทำงานทั้งวันอาจทำให้ไหล่เกร็ง หลังงอ หรือจิตใจเครียดทุกครั้งที่รู้สึกอึดอัด ลองหยุดสักครู่ ลุกขึ้นยืดตัว หมุนหัวไหล่ หรือหายใจลึก ๆเป็นการ “ปรับอาสนะ” ให้กับชีวิตประจำวัน
3. โยคะในความสัมพันธ์ – ฝึกอหิงสา (Ahimsa) และสัตยะ (Satya) เมื่อมีความขัดแย้ง ลองหายใจลึก ๆ ก่อนตอบ เพื่อไม่ให้คำพูดที่พูดออกไปกลายเป็นอาวุธนี่คือการฝึก “อหิงสา” ความไม่เบียดเบียน และเมื่อเรากล้าพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ทำร้ายใคร นั่นคือ “สัตยะ” หรือความซื่อสัตย์ โยคะในความสัมพันธ์จึงเป็นการฝึกใจที่ลึกกว่าท่าใด ๆ
4. โยคะในมื้ออาหาร – ฝึกปัญญาและการรับรู้ การกินด้วยความรู้ตัว (Mindful Eating) คือการฝึกโยคะรูปแบบหนึ่ง เพราะเรากำลังฝึก การอยู่กับสิ่งที่กำลังทำโดยไม่เร่งรีบ รับรู้รสชาติ กลิ่น และความอิ่มอย่างแท้จริง นี่คือการเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและใจในขณะเดียวกัน
5. โยคะก่อนนอน – ปล่อยวางอย่างมีสติ ก่อนนอน ลองนั่งเงียบ ๆ หายใจเข้าออกลึก ๆ หรือสวดมนต์เบา ๆ เป็นการปิดวันด้วยสภาวะของ “ปรัตยาหาระ” และ “ธารณะ” คือการถอนประสาทจากสิ่งเร้าภายนอก และรวมจิตให้สงบ ช่วยให้หลับลึกและฟื้นฟูพลังได้อย่างแท้จริง
.
เมื่อเราเริ่มนำโยคะเข้ามาในชีวิตประจำวัน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้มีแค่ร่างกายที่แข็งแรงขึ้น แต่คือ “จิตใจ” ที่สงบและมั่นคงมากขึ้น
-เราจะเริ่ม ฟังร่างกายมากขึ้น แทนที่จะฝืน
-เราจะเริ่ม เข้าใจคนอื่นมากขึ้น แทนที่จะตัดสิน
-เราจะเริ่ม ปล่อยวางสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แทนที่จะพยายามแบกรับทุกอย่าง
.
โยคะสอนให้เรารู้ว่า “ชีวิตไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่เราสามารถอยู่กับมันอย่างสงบได้” เพราะความสงบไม่ได้เกิดจากโลกภายนอกที่เปลี่ยนไปตามใจเรา แต่เกิดจาก “ใจเรา” ที่ยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่
และเมื่อคุณฝึกอยู่กับลมหายใจในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอยู่บนเสื่อ ที่โต๊ะทำงาน หรือในช่วงเวลาที่เครียด คุณกำลังฝึกโยคะอยู่นั่นเอง
ครูหลง😄
Renew Studio
