เราอาจไม่เคยรู้เลยว่าท่าทาง (Posture) ที่เรายืน เดิน หรือนั่งทุกวัน คือกระจกเงาสะท้อนสุขภาพภายในของเรามากกว่าที่คิด

ท่าทาง (Posture) ไม่ใช่แค่เรื่องของบุคลิกภาพภายนอก แต่คือภาษาของร่างกาย ที่บอกได้ว่า ระบบประสาท สมอง กล้ามเนื้อ ข้อต่อ รวมถึงอวัยวะภายในของเรา กำลังอยู่ในภาวะสมดุล หรือกำลังรับภาระเกินขีดจำกัด

.

ท่าทางเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดของการเสื่อมตามอายุที่สามารถมองเห็นได้ คนที่หลังค่อม ไหล่งุ้ม คอยื่น เงยคาง หรือมีการทรงตัวไม่มั่นคง มักมีความสัมพันธ์กับการเสื่อมของระบบประสาท การทรงตัว และกล้ามเนื้อแกนกลางที่อ่อนแรง

และสิ่งเหล่านี้ล้วนสัมพันธ์กับ “คุณภาพชีวิต” และ “อายุขัย” ของเราโดยตรง เราจะไม่สามารถยืนอย่างสง่างามได้ หากร่างกายภายในเราไม่แข็งแรง

และในทางกลับกัน การฝึกให้ร่างกายอยู่ในแนวศูนย์กลาง สามารถช่วยให้ “ระบบในร่างกายทำงานได้อย่างประสานกัน” ซึ่งส่งผลต่อทั้งระบบไหลเวียน การหายใจ และแม้แต่สมอง

.

Posture หมายถึง “แนวจัดเรียงของร่างกาย (Alignment)” ที่แสดงถึงสมดุลระหว่างกล้ามเนื้อ กระดูก และแรงโน้มถ่วงของโลก ในภาวะที่สมดุลของร่างกาย ในการทรงตัว เคลื่อนไหว และหายใจ

แต่เมื่อเรามีท่าทางที่ผิด เช่น การนั่งทำงานหลังค่อม หรือการยืนโดยลงน้ำหนักไปข้างใดข้างหนึ่งสมดุลนั้นจะถูกทำลาย

เมื่อท่าทางเสีย สมองจะต้อง “สั่งการชดเชย” กล้ามเนื้อบางมัดต้องทำงานมากขึ้น บางมัดอ่อนแรงลง และเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่เริ่มต้นจากความเมื่อยเล็กน้อย จะกลายเป็น “รูปแบบการเคลื่อนไหวที่บิดเบี้ยว” ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสื่อมเรื้อรังของข้อต่อและกระดูกสันหลัง

.

ร่างกายของเราทำงานในแนว “Tensegrity system” หรือระบบที่โครงสร้างอยู่ได้เพราะแรงตึงและแรงดึงที่สมดุลกัน เมื่อท่าทางเปลี่ยน แรงดึงเหล่านี้จะเปลี่ยนทิศ และส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ระบบประสาท และแม้แต่การทำงานของอวัยวะภายใน

นั่นหมายความว่า… “ท่าทางที่ดี ไม่ได้แค่ช่วยให้ดูดี แต่ช่วยให้ระบบในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นด้วย”

.

ท่าทาง (Posture) กับระบบต่าง ๆ ของร่างกาย

1. Posture กับระบบประสาท (Nervous System)

เมื่อเรายืนในแนวศูนย์กลาง ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic nervous system) ทำงานได้สมดุลขึ้น ช่วยให้ Parasympathetic (Rest & Digest) ทำงานได้ดี ในขณะที่ท่าทางที่ห่อ ไหล่งุ้ม หรือคอยื่น อาจทำให้เกิดการจะกระตุ้นโหมด Sympathetic (Fight or Flight) ได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจทำให้ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้น หัวใจเต้นเร็ว หายใจตื้น ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการเสื่อมของเซลล์โดยตรง

.

2. Posture กับการหายใจ (Respiratory System)

ลองสังเกตเวลาที่เราหลังงอ กระบังลมจะไม่สามารถขยับได้เต็มที่ ปอดขยายตัวได้ไม่สุด ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง การขาดออกซิเจนในระดับเซลล์คือหนึ่งในปัจจัยของ “aging” และยังทำให้สมองเหนื่อยง่าย สมาธิสั้น และอารมณ์แปรปรวน

ในทางกลับกัน การนั่งตัวตรง เปิดอก ผ่อนไหล่ ช่วยให้กระบังลมทำงานได้ดีระบบไหลเวียนโลหิตและการแลกเปลี่ยนแก๊สดีขึ้น หัวใจทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบของสุขภาพที่ยืนยาว

.

3. Posture กับระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ (Musculoskeletal System)

ร่างกายของเรามีกล้ามเนื้อกว่า 600 มัด ที่ทำงานประสานกันเพื่อพยุงแนวกระดูกให้สมดุล หากท่าทางไม่สมดุล แรงกดที่ไม่เท่ากันจะทำให้ หมอนรองกระดูกเสื่อมเร็วขึ้น ข้อต่อสะโพกและเข่ารับภาระเกิน และกล้ามเนื้อบางมัด เช่น Hip flexor(กลุ่มกล้ามเนื้องอสะโพก) หรือ Upper trapezius (กล้ามเนื้อบริเวณบ่า) จะเกิดอาการตึงเรื้อรัง

การฝึกปรับท่าทางอย่างถูกวิธี จะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานร่วมกันอย่างประสาน ลดแรงกดในข้อต่อ และทำให้ระบบสมดุลของร่างกายกลับมาทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติ

.

4. Posture กับระบบไหลเวียน (Circulatory & Lymphatic System)

เมื่อร่างกายอยู่ในท่าที่ถูกต้อง การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองจะสะดวกขึ้น หัวใจไม่ต้องทำงานหนัก ร่างกายสามารถขจัดของเสียได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การไหลเวียนที่ดี คือการฟื้นฟูร่างกาย ซึ่งเป็นพื้นฐานของการชะลอวัย



เพราะท่าทางคือการดูแลอายุยืนจากภายใน

หลายคนมักคิดว่า “การดูแลตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์” หมายถึงการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือการกินอาหารเสริมราคาแพง

แต่ในความจริงการฝึก “ท่าทางที่ถูกต้อง”คือหนึ่งในเครื่องมือที่เรียบง่าย ที่ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย

.

ท่าทาง (Posture) คือ ภาพสะท้อนของระบบภายในร่างกาย ช่วยกระตุ้นระบบประสาท การหายใจ และการไหลเวียน

การฝึกโยคะอย่างถูกวิธี จะช่วยคืนสมดุลให้กล้ามเนื้อและจิตใจ การยืน เดิน นั่ง อย่างมีสติ คือการดูแลสุขภาพและอายุขัยไปพร้อมกัน

“อย่ามองข้ามสิ่งเล็ก ๆ อย่างท่าทางในแต่ละวัน เพราะมันคือรากฐานของสุขภาพที่ยั่งยืน”

ครูหลง😄
Renew Studio