
เราอาจเคยได้ยินวลีฮิตอย่าง “No pain, no gain” ที่แปลว่า “ไม่เจ็บ ก็ไม่พัฒนา” คำนี้ฟังดูดี โดยเฉพาะเวลาเราอยากผลักดันตัวเองให้เก่งขึ้น แข็งแรงขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น หรือไปให้ถึงเป้าหมายบางอย่าง
แต่เคยหยุดถามตัวเองไหมว่า…ตอนที่เราทำท่าโยคะ หรือออกแรงมาก ๆ แล้วรู้สึกเจ็บขึ้นมา เรากำลังฝึกโยคะอยู่หรือเปล่า? ถ้าเป้าหมายของเราคือ สุขภาพที่ดีในระยะยาว เรากำลังเดินทางถูกทางอยู่ไหม?
.
ก่อนอื่นต้องบอกว่า… ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก เพราะแต่ละคนมีเป้าหมายในการฝึกที่ต่างกัน บางคนต้องการฝึก เพื่อการแข่งขัน บางคนฝึกเพื่อปลดล็อคบางท่า
แต่ในสายสุขภาพ หรือผู้ที่ฝึกโยคะเพื่อสมดุลกายใจ เป้าหมายคือ ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน คำว่า “Pain” หรือ “ความเจ็บ” ที่พูดถึง จึงควรแยกให้ออกระหว่าง
-Pain ความเจ็บปวด (อันตราย) คือ ความรู้สึกที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนให้เราหยุด เช่น เจ็บจี๊ด แสบ ปวดลึก ๆ บริเวณข้อต่อ เส้นเอ็น หรือกระดูก ถ้ายิ่งฝืน ยิ่งเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ เช่น เอ็นอักเสบ กล้ามเนื้อฉีก หรือข้อต่อหลุดแนว
-Discomfort ความไม่สบาย (ปลอดภัย) เป็นความรู้สึกตึงเล็กน้อย รู้ว่ากล้ามเนื้อกำลังทำงาน เช่น ตอนทำท่า plank แล้วกล้ามเนื้อ core สั่นเบา ๆ หรือขณะยืดเหยียดแล้วรู้สึกตึงเล็กน้อยกลางกล้ามเนื้อ (ไม่ใช่ตรงข้อต่อ) แบบนี้คือ safe zone
.
แต่ในความเป็นจริง ฝู้ฝึกบางคนมักจะปล่อยให้ตัวเองไปไกลเกินพอดี เช่น…
-ยืดไปจนเจ็บหัวเข่า คิดว่าอีกนิดจะได้ท่าสวย ทั้งที่จริงแล้วกำลังใช้งานเกินแนวข้อต่อ
-ฝืนยกแขนในท่าที่ยังไม่พร้อม ทั้งที่หัวไหล่ตึง หรือกล้ามเนื้อ scapular stabilizer ยังไม่แข็งแรงพอ
-หักหลังล่างในท่า backbend โดยหวังจะได้ความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่กลายเป็นปวดหลังแทน
ความเจ็บเล็ก ๆ ที่เรามองข้าม อาจนำไปสู่การบาดเจ็บเรื้อรัง และทำให้ต้องหยุดฝึกไปยาว ๆ
.
การพัฒนาสามารถเกิดขึ้นจาก การกระตุ้นกล้ามเนื้อให้อยู่ใน “เขตปลอดภัย” ไม่ใช่จากการฝืนจนเจ็บ เมื่อกล้ามเนื้อได้รับแรงต้านกำลังพอดี จะเกิดกระบวนการปรับตัว เช่น
-Hypertrophy: กล้ามเนื้อขยายตัวแข็งแรงขึ้น
-Fascial remodeling: พังผืดจัดเรียงตัวดีขึ้น ลดความตึงรั้ง
-Neuromuscular re-education: ระบบประสาทสั่งการกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น
สำหรับโยคะเอง การฝึกท่าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการยืด (stretching), การกระชับกล้ามเนื้อ (engagement), หรือการเคลื่อนไหวผ่าน flow
ถ้าเราฝึกด้วยความรู้ตัว (awareness) และรู้ขอบเขตของร่างกาย (body limit) จะทำให้ร่างกายพัฒนาอย่างยั่งยืน และลดการบาดเจ็บระยะยาว ตัวอย่างท่าที่เราควรใส่ใจเรื่อง “ความรู้สึก” มากกว่า “เป้าหมายทางสายตา” เช่น
-Standing forward bend Pose → อย่ามองว่าแตะพื้นได้คือเก่ง แต่ให้ดูว่ายืดกระดูกสันหลังได้ไหม พับสะโพกได้หรือเปล่า
-Wheel Pose → ถ้าปวดหลังแปลว่า อาจนะกำลังใช้กล้ามเนื้อหลังมากเกินไป หรือหักหลังอยู่ ยืดกระดูกสันหลังไม่พอ
-Pigeon Pose → ถ้าเจ็บเข่าหรือสะโพกตึงมากก็อย่าฝืน ให้ใช้บล๊อกรองสะโพก
.
บางคนอาจรู้สึกว่า… ถ้าไม่ฝืน ก็จะไม่เก่งขึ้น แต่ในความเป็นจริง “การฟังร่างกายให้เป็น” ต่างหาก ที่ทำให้เราเก่งได้อย่างมั่นคง ร่างกายต้องใช้เวลาในการฝึกฝน บางวันทำได้มาก บางวันทำได้น้อย นั้นเป็นเรื่องปกติ
ลองเปลี่ยนคำว่า No pain No gain เป็น Know pain Know gain รู้จักความเจ็บ… แล้วเราจะรู้จักการเติบโตที่แท้จริง บางครั้งความอยากพัฒนาเร็ว อาจทำให้เราหลงทางได้
.
เป้าหมายของโยคะ ไม่ได้มีแค่ทำท่าให้ยากขึ้น
การพัฒนาในโยคะ ไม่ได้วัดกันที่การทำท่ายากขึ้นเสมอไป ยังสามารถตั้งเป้าหมายอื่น ๆ และมีประโยชน์กับร่างกายและจิตใจ เช่น
“หายใจได้ดีขึ้นไหม?”
“รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นหรือเปล่า?”
“สุขภาพโดยรวมดีขึ้นไหม?”
“ผลตรวจร่างกายประจำปี เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นไหม?”
“เคลื่อนไหวร่างกายคล่องตัวขึ้นแค่ไหน?”
“อยู่กับตัวเองได้ดีขึ้นในระหว่างฝึกหรือเปล่า?”
ทั้งหมดนี้คือ “ความสำเร็จ” ที่ไม่จำเป็นต้องเห็นจากภายนอก
.
บางคนฝึกมานานแต่ยังทำท่าบางอย่างไม่ได้ บางคนเพิ่งเริ่มฝึกแต่กลับทำได้เร็ว อย่าเปรียบเทียบเลย เพราะพื้นฐานร่างกายไม่เหมือนกันเลยสักคน
จะมีประโยชน์อะไร ถ้าทำท่ายากได้ แต่สุขภาพไม่ดีขึ้น หรือบาดเจ็บจากการฝืนร่ายกาย จนต้องพักยาว ทั้งที่ตั้งใจจะดูแลตัวเอง
การฝึกที่ยั่งยืน คือการฝึกอย่างรู้เท่าทัน ไม่เร่ง ไม่เปรียบเทียบ ไม่ฝืน ให้โยคะเป็นพื้นที่ของ “ความเข้าใจตัวเอง” ไม่ใช่ “การเอาชนะร่างกาย”
เป้าหมายของการฝึก อาจไม่ใช่ปลายทางที่ได้ท่ายาก แต่อยู่ที่สุขภาพกายใจดีขึ้น เข้าใจและรักตัวเองมากขึ้น
ครูหลง![]()
Renew Studio
