การมีความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อนั้นเป็นสิ่งดี สำหรับการฝึกโยคะ แต่ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน

เวลาพูดถึงโยคะ หลายคนมักนึกถึงภาพการยืดตัว โค้งหลัง หรือแอ่นตัวลงพื้นอย่างสง่างาม จนทำให้เข้าใจไปว่า “คนที่ฝึกโยคะต้องยืดหยุ่นมาก่อน”

แต่จริง ๆ แล้ว การฝึกโยคะไม่ใช่แค่เรื่องของความยืดหยุ่นเท่านั้น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคืออีกเสาหลักที่รักษาการทรงท่า ความมั่นคง และความปลอดภัยของร่างกายในการฝึกโยคะ



กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วยสร้าง “ความมั่นคง” (stability) ให้กับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการทรงตัวในท่าต่าง ๆ อย่าง Warrior III หรือการเคลื่อนไหวผ่าน Flow ที่ต้องมีการเปลี่ยนท่าอย่างต่อเนื่อง

เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงพอ ร่างกายจะสามารถ “ควบคุมการเคลื่อนไหว” ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของการลงน้ำหนักผิดจุด บิดตัวเกินพอดี หรือเกิดแรงกดที่มากเกินไปบริเวณข้อต่อ ช่วยป้องกันข้อต่อต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หัวเข่า ข้อไหล่ ข้อมือ จากการบาดเจ็บ



นอกจากนี้ การฝึกโยคะในรูปแบบวินยาสะยังเป็น “บอดี้เวทเทรนนิ่ง” ที่ใช้น้ำหนักตัว ในการสร้างแรงต้าน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างมวลกล้ามเนื้อ

ถ้าคุณเคยฝึกโยคะมาแล้วบ้าง ลองนึกถึงตอนที่ครูพาเข้าสู่ท่า Plank หรือท่า Chaturanga Dandasana ซึ่งเป็นท่าที่ต้องใช้กล้ามเนื้อแขน ไหล่ หน้าท้อง และหลัง ในการ “ประคองตัว” ไม่ให้ทรุดลง หรือท่า Chair Pose (Utkatasana) ที่แม้จะดูเหมือนแค่ยืนย่อเข่าเฉย ๆ แต่กลับต้องใช้แรงจากกล้ามเนื้อต้นขา สะโพก และหน้าท้องมากพอสมควร

อีกท่าหนึ่งที่แสดงถึงการทำงานของกล้ามเนื้อได้ชัดเจนคือ Warrior II (Virabhadrasana II) ในขณะที่เรากางแขน กางขา บิดลำตัวเปิดสะโพก และมองตรงไปข้างหน้า … กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายล้วนถูกเรียกมาใช้งาน ต้นขาและสะโพกใช้ในการทรงตัว แกนกลางลำตัวช่วยประคองให้หลังตรง กล้ามเนื้อแขนและหัวไหล่ช่วยยืดออกอย่างมั่นคง แม้บางท่าจะดูนิ่ง แต่จริง ๆ แล้ว กล้ามเนื้อเรากำลังทำงานอยู่ตลอดเวลา



เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น เราจะฝึกโยคะได้อย่างปลอดภัยและมั่นคงขึ้น ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้

1. ป้องกันอาการบาดเจ็บ กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วย “กระจายแรง” จากการเคลื่อนไหวไปยังกลุ่มกล้ามเนื้อหลายมัด ไม่ปล่อยให้ข้อต่อรับภาระอยู่ลำพัง และยังช่วยรองรับแรงกดจากน้ำหนักตัวในแต่ละท่าได้ดีขึ้น

2. ช่วยประคองท่าทางให้มั่นคง ในหลาย ๆ ท่าที่ต้องทรงตัว เช่น Tree Pose หรือ Half Moon Pose ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและแกนกลางลำตัว คือหัวใจสำคัญที่ทำให้เรายืนนิ่งได้โดยไม่โอนเอน

3. เสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ การฝึกโยคะอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะท่าที่ยืนนาน ๆ หรือท่าที่ต้องใช้แรงพยุงตัว เช่น Crow Pose หรือ Boat Pose จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลดีในระยะยาวต่อสุขภาพโดยรวม รวมถึงการเผาผลาญพลังงาน

4. เพิ่มคุณภาพการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ความแข็งแรงจากโยคะไม่เพียงแค่ใช้ในคลาสเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อกิจกรรมในชีวิตจริง เช่น การยกของ นั่ง เดิน หรือแม้แต่การนั่งทำงานอย่างมีท่าทางที่เหมาะสม

5. ช่วยรักษาสมดุลกับความยืดหยุ่น ถ้ามีแต่ความยืดหยุ่น แต่ไม่เสริมแรงกล้ามเนื้อให้พอเพียง อาจนำไปสู่ภาวะ hypermobility หรือการที่ข้อต่อเคลื่อนไหวเกินพิกัด จนกลายเป็นจุดเสี่ยงแทนที่จะเป็นข้อดี



การฝึกโยคะที่สมดุล คือการฝึกทั้ง “ความยืดหยุ่น” และ “ความแข็งแรง” ไปพร้อมกัน กล้ามเนื้อที่ยืดหยุ่นจะช่วยให้เราเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วยให้เราเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย

ครูหลง😄
Renew studio